วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เทพปกรณัมนอร์ส







เทพปกรณัมนอร์ส (อังกฤษNorse mythology) เป็นตำนานตามความเชื่อของชาวนอร์ส หรือสแกนดิเนเวีย มีตำนานการเกิดโลกเช่นเดียวกับชนเผ่าอื่นๆ แต่อาศัยที่พวกเขาอยู่ในภูมิประเทศซึ่งเป็นน้ำแข็งตลอดเวลา เรื่องของเทพจึงเกี่ยวพันกับน้ำแข็งค่อนข้างมาก และที่แตกต่างกว่าเทพในความเชื่ออื่น ๆ ก็ตรงที่ เทพชาวนอร์สเป็นเผ่าพันธ์ครึ่งยักษ์ครึ่งเทพ มีความตายเป็นที่สุด เทพปกรณัมชาวนอร์สนี้ ยังเป็นแรงบรรดาลใจที่ทำให้ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เขียนเรื่องของเขาด้วย
สำหรับชาวนอร์ส วิธีที่จะตายอย่างมีเกียรติ คือตายในที่สนามรบขณะยังมีวัยหนุ่ม เพราะเหตุที่เชื่อว่าจะทำให้ได้รับคัดเลือกไปอยู่ใน วัลฮัลลา(Valhala) สวรรค์แห่งนักรบ ซึ่งวิญญาณของพวกเขาจะได้ต่อตีกันอย่างสนุกสนาน(ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกไปเที่ยวฝึกการต่อสู้ ฝึกดาบ หากพลาดพลั้งตาย ก็จะฟื้นขึ้นใหม่ตอนเย็น ได้เวลากินพอดี) และรับการเลี้ยงชนิดไม่มีหมดไม่มีอั้น จนกว่าจะถึงเวลาแร็กนาร็อก เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง (รวมทั้งพวกเทพด้วย) ฉะนั้นการตายแบบแก่ชรา โรคภัยไข้เจ็บถามหา นับเป็นเรื่องน่าอับอาย
ด้วยความที่ศาสนาบอกไว้ว่า ไม่มีอะไรคงทนถาวรกระทั่งเทพเจ้า ชาวนอร์สโบราณจึงคิดเสมอ การต่อสู้รบราด้วยความรุนแรงจนกระทั่งตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความชั่วร้ายทั้งหลาย เพราะในช่วงเริ่มแรกของอารยธรรม พวกเขาต้องอยู่ในแผ่นดินที่มีแต่ความเย็นเฉียบ ไม่มีความสบาย แสงอาทิตย์จะปรากฏให้เห็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆในปีหนึ่ง
ชาวนอร์สเปรียบเทียบความมืด และความสว่าง กับความชั่ว และความดี สรรพสิ่งต่างๆที่อยู่ในธรรมชาติของเงามืด และธรรมชาติของความสว่างจึงเป็นของกันและกัน
 เมื่อแรกเริ่ม จักรวาลก็คือสภาวะหมุนคว้าง มืดและสับสน และแล้วจู่ๆความสับสนนั่นก็ค่อยๆแตกแยกออก เกิดห้วงว่างขึ้นตรงกลาง เป็นห้วงที่ความลึกหยั่งไม่ได้ อุณหภูมิเริ่มต่ำลงขนาดแช่คนให้แข็งได้ในฉับพลัน ห้วงที่ว่าชาวนอร์สเรียก กินนันกาแก็บ (Ginnungagap) ทิศเหนือของกินนันกาแก็บ เป็นอาณาเขตของ นิฟล์เฮม (Niflheim) โลกแห่งความมืดมัวนิรันดร์ น้ำพุ เวอร์เกลเมอร์ (Hvergelmir) แฝงตัวอยู่ที่นี่และน้ำจากน้ำพุก็เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 11 สาย ซึ่งก็ไหลไปสู่ห้วง กินนันกาแก็บ เจอเข้ากับความเย็นที่นี่ น้ำในแม่น้ำก็ค่อยๆแข็งตัวแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆแทรกตัวเข้าไปในห้วงว่างจนเต็ม

กำเนิดชีวิตแรก

ทางใต้ของ กินนันกาแก็บ คือ มัสเปลส์เฮม (Muspelsheim) แผ่นดินแห่งไฟ ซึ่งมีความร้อนอยู่ตลอดเวลา เป็นที่อยู่อาศัยของ เซิร์ท (Surtr) ยักษ์แห่งไฟ ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแรก ที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างโลกจนล้างโลกในวาระสุดท้าย (สงครามแร็คนาร็อก) หน้าที่ของยักษ์ตนนี้คือเฝ้ามัสเปลส์เฮมเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครเข้า แต่เพราะความที่ตอนนั้นก็ไม่มีใครอยู่ ยักษ์เซิร์ทจึงเบื่อมากๆไม่รู้จะทำอะไรนอกจาก ตีดาบ ทำของ และส่งประกายไฟลอยเข้าไปในกินนันกาแก็บเล่นไปวันๆ
ความร้อนที่มาจากประกายไฟ นานเข้าบ่อยเข้าทำให้น้ำแข็งในห้วงละลายเป็นไอลอยขึ้นกระทบอากาศเย็นกลายเป็นน้ำค้างแข็งร่วงลงมากองอยู่กับพื้น นับเดือนนับปี น้ำค้างเหล่านั้นก็รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา 2 อย่าง คือ ยักษ์ตนแรก อีเมอร์ (Ymir) กับ วัว ออดฮัมลา (Audhumla)

กำเนิดบรรพเทพ-ต้นตระกูลยักษ์

เมื่อเกิดแล้ว ทั้งสองก็หิวซิ อีเมอร์ หันไปหันมาเจอกับเต้านมอันเต่งของวัว ก็ตรงเข้าดูดนมวัวเป็นการใหญ่ แต่วัวออดฮัมลาโชคร้าย หล่อนไม่มีอะไรจะกิน นอกจากน้ำแข็งข้างหน้า ก็เลยเลียน้ำแข็งกินไปพลางๆปรากฏว่า น้ำลายอุ่นๆของวัวที่เลียน้ำแข็ง ก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งจากก้อนน้ำแข็งที่มันเลีย นั่นคือ เทพ บูรี(Buri) พระเกษาของพระองค์ทรงงอกขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เป็นเศียรและวรกาย เป็นชีวิตของชายอีกคนหนึ่ง เทพองค์นี้จะนับเป็นบรรพบุรุษของเทพทั้งหมดทีเดียว
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อีเมอร์ไม่สนใจนอกจากให้ตัวเองอิ่มไว้ก่อน นี่เป็นความต้องการแรกของมนุษย์ตั้งแต่เกิด อีเมอร์ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็อิ่ม แต่ดูจะอิ่มมากไป มันจึงง่วงแล้วจึงก็ลงนอนบนพื้นน้ำแข็งแล้งหลับสนิทไปโดยพลัน ประกายไฟจากดาบของยักษ์เซิร์ทลอยละล่องมาตกข้างตัวเรื่อยๆสร้างความอบอุ่นให้เขาหลับนานขึ้นและเหงื่อออก แต่ว่าเหงื่อยักษ์ตัวแรกนี่ประหลาดแท้ ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น
ตัวแรกที่เกิดจากหยาดเหงื่อของอีเมอร์ เป็นยักษ์หกหัวที่แสนจะน่าเกลียด ธรุดเกลเมอร์(Thrudgelmir)(ตนนี้เป็นบรรบุรุษของยักษ์น้ำค้างแข็งตัวอื่นๆต่อไปอีก พวกนี้นับเป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเทพ) ส่วนเหงื่อจากใต้รักแร้ข้างซ้ายกลายเป็นยักษ์ชาย และหญิงคู่หนึ่ง แม้จะมีตนละหัวเดียว แต่ก็น่าเกลียดพอๆกับเจ้าหกหัวตัวแรก ขนาดที่ไม่มีใครอยากจำชื่อด้วยซ้ำ
บูรี ต้นกำเนิดเผ่าพันธ์เทพ และ ธรุดเกลเมอร์ บรรพบุรุษยักษ์ คล้ายกับ อีเมอร์ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็สามารถให้กำเนิดลูกได้เลย เบอร์เกลเมอร์(Bergelmir) เกิดจากยักษ์ ธรุดเกลเมอร์ ด้วยการกระโดดออกมาจากร่างของพ่อ ขณะเดียวกัน โอรสของ บุรี ก็กระโดดออกจากกายของพระองค์ มีนามว่า บอร์(Bor) บอร์ สมรสกับ เบสล่า(Bestla)ยักษี ลูกสาวตนหนึ่งของอีเมอร์ ได้ผลพวงจากการสมรสเป็นเทพสำคัญสามองค์ โอดิน(Odin) วิลี(Vili) และ วี(Ve) เทพทั้งสามพระองค์นี่จะทรงเป็นต้นวงศ์ของเทพ อีเซอร์(Aesir) ผู้ครองสวรรค์

กำเนิดสงครามเทพ-ยักษ์

คราวนี้พอเห็นเทพเกิดขึ้นเท่านั้น เบอร์เกลเมอร์ ก็ชักจะตกใจกลัวเทพขึ้นมา ทั้งสองจึงช่วยกันรวบรวมพี่น้องๆที่เกิดขึ้นจาก อีเมอร์ ไว้เป็นกำลังฝ่ายตัว ความกลัวเทพอาจเพราะคุณสมบัติที่ยักษ์ไม่มี เช่น ทั้งสามองค์แข็งแรงมาก แผลบาดเจ็บอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นก็สามารถหายเองได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากพวกยักษ์ซึ่งมีจะมีมาก และมีเสริมขึ้นเรื่อยๆแต่ความแข็งแรงและแข็งแกร่งกลับสู้เทพทั้งสามไม่ได้เลย
สงครามระหว่างลูกๆ ของธรุดเกลเมอร์และโอรสของบอร์ เกิดขึ้นเป็นเวลานานนับพันๆปีในห้วงกินนันกาแก็บ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด หรือฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ
ในที่สุด พวกเทพจึงทรงคิดจะต้องยุติ มิให้ อีเมอร์ สมารถให้กำเนิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีก โดยทรงฆ่า อีเมอร์ เลือดของยักษ์ตนแรกไหลจากร่าง มากจนกลายเป็นแม่น้ำเลือดใหญ่ ท่วมในห้วงกินนันกาแก็บที่เหลือจนเต็ม ทายาทยักษ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนแรก ต่างจมน้ำในแม่น้ำเลือดนี้ตายหมด ยกเว้น เบอร์เกลเมอร์ สามารถหนีกับภรรยาของเขา ไปขึ้นฝั่งทางใต้ได้

กำเนิดแผ่นดินและโลกต่างๆ

เบอร์เกลเมอร์ ตั้งอาณาจักรของยักษ์ขึ้นใหม่ เรียกว่า โจตันเฮล์ม(Jotunheim) ลูกหลานของพวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เกลียดแค้นเทพ
ส่วนเทพนั้นทรงคิดจะหาทางสร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร่างของอีเมอร์ พวกเทพทรงใช้ศพอันมหึมา ข้ามห้วงว่างกินนันกาแก็บ ส่วนต่างๆจากร่างศพให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆตามทางไปด้วย
เลือดของอีเมอร์ กลายเป็น มหาสมุทร กระดูก เป็น ภูเขา และ ฟันซึ่งแตกหัก กลายเป็น หน้าผาต่างๆ ผม กลายเป็น ต้นไม้ใบหญ้า หัวกะโหลกโค้งมโหฬาร เทพก็เอามาทำ โค้งสวรรค์ สมองของอีเมอร์ กลายเป็น เมฆลอยทั่วท้องฟ้า ที่สำคัญที่สุด เนื้อของอีเมอร์ กลายเป็น แผ่นดินอันมั่นคงอยู่ตรงกลางมหาสมุทร เรียกกันว่า มิดการ์ด(Midgard) หรือ แผ่นดินที่อยู่ตรงกลาง
ซึ่งอันที่จริงก็จะอยู่ตรงกลางระหว่าง นิฟล์เฮม ดินแดนแห่งน้ำแข็ง ความเย็นและความเงียบนิรันดร์ และ มัสเปลส์เฮม อาณาจักรแห่งไฟ แผ่นดินที่ถูกแผดเผาด้วยดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และยังอยู่ตรงกลางของมหาสมุทร คือถูกมหาสมุทรล้อมรอบด้วย ยิ่งกว่านั้นมิดการ์ด เป็นแผ่นดินของมนุษย์ซึ่งพวกเทพทรงวางไว้เป็นเขตกั้นระหว่าง แอสการ์ด ของตนกับ โจตันเฮล์ม ของยักษ์

กำเนิดพระอาทิตย์-พระจันทร์

เมื่อโลกเป็นที่เป็นทาง เทพทั้งหลายก็ทรงเห็นพ้องว่า แสงสว่างจะเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกเขาจึงเดินทางไป มัสเปลส์เฮม เก็บเอาประกายไฟที่กระเด็นจากดาบเซิร์ทดวงที่ไม่ดับ ขว้างไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วไปหมด และเกิดสองดวงสว่างสุดคือดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์
และสร้างราชรถสำหรับลากลูกไฟทั้งสองไปทั่วฟ้า คันที่ลากดวงอาทิตย์มีทั้งน้ำแข็งและโล่ สวาลิน ไว้ด้านหลังม้าและคนขับ ป้องกันความร้อนรุนแรง มีม้าสองตัวลาก ชื่อ อาร์วาคร์(Arvakr) แปลว่า ขึ้นแต่เช้า กับ อัลสวิน(Alsvin) ซึ่งแปลว่า ฝีเท้าเร็ว ส่วนดวงจันทร์ ไม่ยุ่งยาก เพราะแสงไม่แรงเท่า ทั้งเล็กกว่า มีม้าลากเพียงตัวเดียวคือ อัลสไวเดอร์(Alsvider) แปลว่า เร็วเสมอ
ต่อไปนี้มีการแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
  1. โอดินทรงมองหาจากบรรดาลูกหลานที่เหลืออยู่ ค่อนข้างนอกคอกหน่อยคือเป็นลูกผสมยักษ์-เทพชื่อ มานิ(Mani) และ โซล(Sol) ชื่อทั้งสองแปลว่า ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
  2. พี่น้องสองคนเป็นลูก มันดิลฟาริ(Mundilfari) มนุษย์จากมิดการ์ด พ่อของเขาหาญตั้งชื่อว่า อาทิตย์และจันทร์ ด้วยคิดว่าลูกตัวงดงามเหมือนทั้งสองดวง หาญเช่นนี้ โอดินโกรธมาก เลยพรากตัวสองพี่น้องมาทำหน้าที่สารถีขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์เสียจริง
ตำนานชาวนอร์สยังกล่าวถึงศัตรูตัวฉกาจของอาทิตย์และจันทร์ไว้ด้วยคือ พญาหมาป่าสองตัว สกอลล์(Skoll) และ ฮาติ(Hati) สองตัวนี่ปรารถนาอย่างเดียวมาแต่เกิดคือ อยากจะกินดาวทั้งสองให้สิ้นซาก แล้วก็สามารถทำได้จริงด้วยในช่วงแร็คนาร็อก

นรกภูมิ

แม้ว่าชาวนอร์สจะไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนรกเลย แต่นรกของชาวนอร์สนั้นก็มีอยู่ เรียกว่า นิฟล์เฮม เป็นแผ่นดินของคนตาย อากาศหนาวเย็นมาก มีแต่แค่ ยักษ์ กับ คนแคระ เท่านั้นที่อยู่ร่วมกับวิญญาณคนตายได้ นรกของชาวนอร์สเป็นอาณาจักรของ เทพี เฮล(Hel) (ที่มาของ Hell) พระองค์นี้เป็นเทพที่สำคัญต่อไปในภายหน้า

กำเนิดคนแคระ-เอลฟ์


เทพทั้งหลายจึงสำรวจสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น แล้วจึงเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับอุปนิสัย พวกที่ทำท่าทางโลภ ชอบขู่คำรามและโค้งตัวคุ้ยเขี่ยพื้นดิน สามารถรอดชีวิตได้โดยที่พวกอื่นตาย เทพสร้างให้เป็น 
คนแคระ(Dwarf) ให้ไปอยู่ในอาณาเขต สวาทัล์ฟเฮม(Svartalfheim) ใต้พื้นผิวแผ่นดินมิดการ์ด ซึ่งพวกมันสามารถจะขุดดินหาแร่มีค่าและอัญมณีมาเก็บไว้เป็นสมบัติ สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าโผล่ขึ้นมายามกลางวัน เพราะแค่แดดอ่อนต้องผิว จะกลายเป็นหินทันทีระหว่างที่เทพทั้งสามช่วยกันสร้างโลก เนื้อส่วนหนึ่งของอีเมอร์นั้นก็เริ่มเน่า และได้ผลิตสิ่งมีชีวิตขึ้นพวกหนึ่ง
ส่วนอีกพวกหนึ่งไม่มีความโลภ เป็นพวกที่มีจิตใจดี ได้รับเปลี่ยนให้สวยงาม ตัวเบาเหมือนอากาศ เรียกว่า เอลฟ์(Elf) ได้อาณาเขต อัล์ฟเฮม(Alfheim ดินแดนแห่งเอลฟ์ขาว หรือ เอลฟ์สว่าง) อยู่ระหว่างแอสการ์ด กับมิดการ์ด พวกนี้มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนแคระ ถิ่นที่อยู่พวกเขาปลอดภัย และสามารถมาเที่ยวเล่นโลกมนุษย์ได้โดยไม่มีอันตราย เหตุนี้จึงทำให้เหล่าคนแคระไม่ชอบเหล่าเอลฟ์

กำเนิดมนุษย์

ครั้งหนึ่ง เทพสามองค์ โอดิน โฮเนอร์(Hoenir) และ โลเดอร์(Lodur) ทรงกำลังเดินทางไปตามชายหาด บังเอิญพบต้นไม้สองต้นที่ลอยมาติดหาด ต้นหนึ่งคือ แอช(Ash) ต้นหนึ่งคือเอล์ม(Elm)
โอดินทรงหักเอากิ่งที่มีสาขาของไม้ทั้งสองขึ้นมา ทรงถากให้เข้ารูปเป็นตุ๊กตามนุษย์ผู้ชาย และมนุษย์ผู้หญิง โอดินทรงประทานวิญญาณให้ โฮเดอร์ประทานความรู้สึก และโลเดอร์ประทานชีวิต และสีผิวที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ จากนั้นกิ่งไม้ทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้น เป็นรูปร่างที่ใกล้เคียงเทพแต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นมนุษย์คู่แรกของโลก ผู้ชายมาจากต้นแอชนามว่าอากสค์(Askr) ส่วนผู้หญิงนั้นมาจากต้นเอล์มชื่อ เอมบลา(Embla) เทพทั้งหลายทรงได้ชี้ทิศให้ทั้งสองหาที่ทางตั้งที่อยู่กันในมิดการ์ด

ที่อยู่ของเทพ

เทพทั้งหลายนั้นทรงได้สร้าง แอสการ์ด(Asgard) ขึ้น ตามชื่อวงศ์แอเซียร์(Aesir) ของตน ที่นี่ไม่ต้องการสงคราม ไม่มีการสู้รบ สันติภาพคงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่เทพอีเซอร์ปกครองโลก
ถึงกระนั้น ชาวอีเซอร์ก็ไม่ประมาท จึงสร้างโรงตีเหล็กเพื่อตีอาวุธยุทโธปกรณ์ และค่อยๆสร้างสรรค์ส่วนต่างๆของแอสการ์ดให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
แอสการ์ดเชื่อมกับโลกมนุษย์ ด้วยสะพานรุ้งน้ำแข็งเรียก ไบฟรอส(Bifrost) สะพานนี้ก่อร่างขึ้นมาจากสายรุ้งที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันทั้งกว้างและแข็งแรงพอชักรถศึกออกไปได้

ต้นอิกดราซิล

โลกมนุษย์อยู่ภายใต้ร่มเงากิ่งก้านสาขา ยอดไม้ระเมฆบนท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของไม้ทำให้โลกทั้งหมดตั้งอยู่อย่างมั่นคงกลางแดนสวรรค์ มีไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็นไม้แอช (Ash) ชื่อ อิกดราซิล (Igdrasil หรือ Yggdrasil) โอบรับโลกทั้งเก้า ไม่ว่า สวรรค์ โลกมนุษย์ โลกยักษ์ โลกคนแคระ โลกเอลฟ์ ไว้กับกิ่งก้านสาขา และรากของมัน
อิกดราซิล มีรากใหญ่ 3 รากหยั่งลึกลงไป รากหนึ่งไปถึงโจตันเฮล์ม แผ่นดินของยักษ์ รากหนึ่งไปถึงนิล์ฟเฮมแผ่นดินน้ำแข็ง และรากอันหนึ่งไปถึงแอสการ์ดแผ่นดินของชาวสวรรค์ รากทั้งสามทำให้ อิกดราซิล สัมพันธ์กับโลกทั้งสาม คือยักษ์ เทพ และมนุษย์ และได้ดูดเอาน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งไว้หล่อเลี้ยงต้น
รากที่อยู่กับ แอสการ์ด ไปโผล่ขึ้นบริเวณน้ำพุเอิด น้ำพุแห่งเยาวภาพ (Fountain of Youth) เป็นน้ำพุที่ชาวสวรรค์ใช้ดื่มกินเพื่อให้มีความเยาว์วัยอยู่เสมอ เทพีที่คอยรักษาแหล่งน้ำ และทรงมีหน้าที่ตักน้ำให้ชาวสวรรค์วันละครั้งคือ พวกนอร์น(the Norns) สามพี่น้อง นามว่า เอิด(Urd อดีต) เวอร์ดานดิ(Verdandi ปัจจุบัน) และ สกัลด์(Skuld อนาคต) จะเรียกรวมกันว่าเป็นเทพีแห่งชะตามนุษย์ก็ไม่ผิด เหตุนี้อิกดราซิลจึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ต้นไม้แห่งชะตาลิขิต (tree of destiny) ด้วย
รากต่อมาแผ่ไปถึง นิฟล์เฮม แผ่นดินแห่งน้ำแข็งได้น้ำจากน้ำพุ ฮเวอร์เกลเมอร์(Hvergelmir) ซึ่งมีน้ำตกหลั่นเป็นชั้น แผ่สาขาออกไปเป็นแม่น้ำสายใหญ่ๆของโลก ส่วนรากที่สาม แผ่ไปถึงแผ่นดินของพวกยักษ์ ได้น้ำจากน้ำพุ ไมเมอร์(Mimir) เป็นน้ำวิเศษแห่งความรอบรู้ พวกยักษ์จึงต้องจัดเปลี่ยนเวรยามเฝ้าไม่ยอมให้ใครตักดื่มได้โดยง่าย
อิกดราซิล เขียวสดตลอดทั้งปีและตลอดไป แม้ว่าใบของมันจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆไปบ้าง บนต้นยังมีสัตว์อีกหลายชนิดอาศัยอยู่ เช่น บนยอดไม้สูงสุดมีไก่ตัวผู้สีทองตัวหนึ่งคอยตรวจตราขอบฟ้า มีหน้าที่ขันเตือนเทพหากศัตรูตลอดกาลเตรียมยาตราทัพมา นกอินทรีอีกตัวหนึ่งจะคอยเกาะกิ่งไม้มองสำรวจเช่นเดียวกับไก่ นกตัวนี้มีผู้ช่วยก็คือนกเหยี่ยวซึ่งเกาะอยู่ระหว่างตาของมัน
ตรงรากไม้มี พญางู นิดฮอก(Nidhoggr) ขดล้อมอยู่ กระรอกชื่อ ราตาโทสค์(Ratatosk) ไม่เคยหยุดวิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างตรงที่อินทรีเกาะกับรากบน นิล์ฟเฮม คอยตรวจตราไม่ให้พญางูกัดกินรากต้นไม้มากเกินไปยามที่เบื่อจะแทะศพมนุษย์แล้ว
รวมความแล้ว อิกดราซิล เป็นไม้สารพัดประโยชน์ แม้กระทั่งเทพโอดินเอง ก็เคยทรงแขวนคออยู่บนต้นไม้นานถึง 9 คืน เพื่อล่วงรู้ความลับแห่งความตาย และนำมาซึ่งการสร้างอักษรรูน เล่ากันว่าเทพโอดินก็ได้ทรงตายไปเหมือนกัน แต่เนื่องด้วยได้ดื่มน้ำพุไมเมอร์แล้ว ทำให้ฟื้นได้ (การแขวนคอเช่นนี้ กลายเป็นประเพณีภายหลัง มีการพบศพอยู่ในปลักตมที่จัตแลนด์ เรียกว่า ศพมนุษย์โทลลัน ลักษณะถูกแขวนคอตาย ทำให้คิดถึงการบูชายัญพลีแก่โอดินเมื่อฝ่ายตรงข้ามชนะศึก)



โลกิ (อังกฤษLoki Laufeyjarson) เป็นเทพเกเรในเทพปกรณัมนอร์ส โลกิมีความขี้เล่นและซุกซน ในช่วงแรกนั้นโลกิได้ช่วยเหลือเหล่าเทพแห่งแอสการ์ดในการต่อสู้กับเหล่ายักษ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความซุกซนของโลกิก็ยิ่งกลายเป็นความโหดร้ายยิ่งขึ้น เทพโลกิมีบุตร 3 ตน คือ หมาป่าเฟนริล์ งูยักษ์มิดกาดโซรุม และเฮล เทวีแห่งอาณาจักรคนตาย ในวันแร็กนาร็อก วันสงครามสิ้นโลก บุตรทั้ง3 ของโลกิจะมีส่วนร่วมต่อสู้ในสงครามด้วย โลกิยังเป็นผู้ให้กำเนิดม้าสเลปนิร์ของโอดิน
โลกิเป็นผู้สังหารบัลเดอร์ เทพแห่งความสุข โดยใช้กิ่งของต้นมิสเซิลโท ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เคยสาบานว่าจะไม่ทำร้ายบัลเดอร์ ทำเป็นลูกดอกแล้วหลอกให้เทพฮอดผู้ตาบอดขว้างใส่บัลเดอร์ และเมื่อเทพเฮลมอดได้ไปตกลงกับเฮล ซึ่งจะยอมให้บัลเดอร์กลับจากยมโลกถ้าทุกชีวิตบนโลกร่ำไห้แก่บัลเดอร์นั้น นางยักษิณี ทอค ปฏิเสธที่จะร่ำไห้ตามคำขอร้องของแอนซัส ผู้ส่งสาร ซึ่งเชื่อว่าทอคนั้นก็คือโลกิปลอมตัวมานั่นเอง ซึ่งเหตุการนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกิเป็นศัตรูกับเหล่าเทพแห่งแอสการ์ดและถูกจับล่ามโซ่ไว้จนถึงวันแร็กนาร็อก




เพิ่มเติมhttps://en.wikipedia.org/wiki/Loki(ขี้เกียจเเปล)

ในเทพปกรณัมนอร์ส ทอร์ (อังกฤษThor, จากภาษานอร์สโบราณ Þórr) เป็นเทพถือค้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับสายฟ้า ฟ้าร้อง พายุ ต้นโอ๊ก พละกำลัง การคุ้มครองมนุษยชาติ และตลอดจนการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ การรักษาและความอุดมสมบูรณ์ เทพที่มาจากกำเนิดเดียวกันในเทพปกรณัมเยอรมันและเพเกินที่กว้างกว่า เป็นที่รูจักกันในภาษาอังกฤษโบราณว่า Þunor และภาษาเยอรมันโบราณเขตเหนือว่า Donar (อักษรรูน þonar ) ซึ่งกำเนิดจากภาษาโปรโตเยอรมัน *Þunraz (หมายถถึง "สายฟ้า")
ทอร์เป็นเทพที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างสำคัญตลอดประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกของชาวเยอรมัน จากการยึดครองดินแดนเยอรมาเนียของโรมัน ไปจนถึงการขยายชนเผ่าในสมัยการโยกย้ายถิ่นฐาน ไปจนถึงการได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคไวกิ้ง เมื่อ ในการเผชิญกับกระบวนการเผยแผ่ศาสนาคริสต์เข้าไปในสแกนดิเนเวีย สัญลักษณ์ค้อนมจอลนีร์ (Mjölnir) ของพระองค์ ถูกสวมใส่เป็นการท้าทายและชื่อตัวของนอร์สเพเกินซึ่งมีชื่อของเทพเจ้าเป็นพยานต่อความนิยมของเขา เมื่อย่างเข้าสู่สมัยใหม่ ทอร์ยังได้การยอมรับต่อไปในตำนานพื้นบ้านชนบททั่วภูมิภาคเยอรมัน ทอร์มักอ้างถึงบ่อยครั้งในชื่อสถานที่ ในวันประจำสัปดาห์ วันพฤหัสบดี (Thursday ("วันของทอร์") ปรากฏนามของพระองค์ และชื่อซึ่งมาจากยุคเพเกินที่มีนามพระองค์นั้นยังมีใช้กันอยู่จวบจนปัจจุบัน
ทอร์เป็นหนึ่งในสิบสองสำคัญของเทพเจ้าสแกนดิเนเวีย เป็นเทพแห่งสายฟ้า ทอร์เป็นบุตรของเทพเจ้าโอดิน และจอร์ดน่ง (Fjörgyn) ยักษ์แห่งแผ่นดิน

โพสต์เเรกขอเบาๆเเล้วกัน
โอดิน เทพเจ้าสูงสุดของยุโรปเหนือ เทพเจ้าแห่งสายฟ้าซึ่งมีหอกกุงเนียร์เป็นอาวุธ เมื่อได้รับคำทำนายเกี่ยวกับแร็กนาร็อก และรู้ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฝ่ายตนได้รับชัยชนะ โดยการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆมากมายเพื่อหาความรู้ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าสำหรับชาวไวกิ้งแล้วความรู้ถือเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และสำคัญเพียงใด โอดินถึงกับยอมแลกดวงตาข้างหนึ่งเพื่อแลกกับการได้ดื่มน้ำพุแห่งความรู้ ซึ่งทำให้โอดินมีอำนาจพิเศษรวมถึงสามารถอ่านอักขระรูนที่ไม่มีผู้อื่นอ่านได้ พาหนะของโอดินเป็นม้าชื่อสเลปไนร์ซึ่งตำนานกล่าวว่ายามวิ่งจะเร็วมากจนดูเหมือนมีแปดขาและสามารถวิ่งไปได้ทั้งบนสวรรค์ โลกและมหาสมุทร โอดินตระเวนไปพบกับเหล่าผู้ทำนายและคนแคระ ผูกมิตรกับเหล่าวานิร์ ในคำทำนาย โอดินจะถูกกลืนกินโดยหมาป่าเฟนริล์ (Fenrir)
เทพโอดิน ถือเป็นเทพผู้สร้างโลก เทพสูงสุดตามความเชื่อของศาสนา อาซาทรู อันเป็นศาสนาโบราณที่เคยนับถือของชนในแถบสแกนดิเนเวีย (ชนเหล่านี้ถูกเรียกรวมๆว่าคนเหนือ หรือ นอร์ส Norse) โดยหลักศาสนาเน้นที่สัจธรรมคล้ายๆศาสนาพุทธ คือความไม่จีรัง ดังนั้น ผู้ที่นับถือศาสนานี้จึงยึดมั่นในสิ่งที่ควรทำ ใฝ่หาความรู้ ยึดมั่นในสัจจะ ช่วยเหลือผู้อื่น และออกผจญภัยเพื่อใช้ชีวิตให้คุ้มค่า รบอย่างกล้าหาญเพื่อให้ได้ตายอย่างมีเกียรติในสนามรบ ให้ลูกหลานนำเรื่องราวของตนไปเล่าขานในฐานะวีรบุรุษ และเพื่อให้ดวงวิญญาณได้รับเลือกให้เข้าร่วมกับกองทัพเทพ ร่วมต่อสู้กับยักษ์ในวันสิ้นโลก (ไวกิ้งเป็นตัวอย่างหนึ่งของชนที่นับถือศาสนานี้)
แม้เทพโอดินทรงสร้างโลกแต่พระองค์ก็ไม่สามารถล่วงรู้อนาคตของโลกได้ โดยเฉพาะความลับสูงสุดของจักรวาล การถือกำเนิด ชีวิตหลังความตาย และอนาคตของโลก เพื่อให้ทรงทราบความลับเหล่านี้ จึงทรงทรมาณองค์เองโดยผูกเท้าข้างหนึ่งกับพฤกษาที่เป็นแกนกลางของโลก (อิ๊กก์ดราซิล) แทงหอกที่สีข้าง ทรมาณอยู่ถึง 9 วัน 9 คืน จนถึงกับสิ้นพระชนม์ แต่แล้วก็ทรงฟื้นคืนขึ้นมาใหม่โดยไม่เจ็บปวด แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณ ทรงบันทึกสิ่งที่พระองค์ค้นพบในรูปแบบอักษรศักดิ์สิทธิ์ 24 ตัว เรียกว่า รูนส์ ซึ่งต่อมาทรงพระราชทานรูนส์แก่ชาวโลกเพื่อให้ใช้ในฐานะเทพพยากรณ์
ในที่สุด ทรงล่วงรู้อนาคต รู้วันสิ้นโลก รู้ว่าในวันข้างหน้า โลกจะถึงกาลแตกดับ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น พระองค์ จะทะนุถนอมโลกที่ทรงสร้างอย่างดี เพื่อเมื่อถึงวันโลกาวินาศ จะได้มีเทพและมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ไปสร้างโลกใหม่ที่มีความสุข แต่ยังทรงต้องการความรู้เพิ่มเติม จึงทรงไปที่รากของต้นไม้อี๊กก์ดราซิลเพื่อดื่มน้ำพุวิเศษที่ทำให้กลายเป็นผู้รอบรู้ ที่บ่อน้ำพุนี้มียักษ์ตนหนึ่งเฝ้าอยู่ ชื่อมีเมียร์ หากจะทรงถืออำนาจดื่มน้ำพุเลย ในฐานะจอมเทพ ย่อมทรงกระทำได้ แต่พระองค์ไม่ทำเพราะเห็นว่าเป็นการกระทำของคนโฉด จึงทรงแลกเปลี่ยนดวงตาข้างหนึ่ง เพื่อการได้ดื่มน้ำ ยักษ์ยินยอม แล้วพระองค์ก็ทรงดื่มน้ำนั้นจนหมดบ่อ
แม้จะทรงมีหอกวิเศษกุงเนียร์ อันเป็นหอกที่ไม่เคยพลาดเป้าเป็นอาวุธ แต่กลับไม่ค่อยได้ใช้อาวุธของพระองค์เท่าใดนัก ว่ากันว่าพระองค์จะได้ใช้หอกนี้อย่างแท้จริงก็คือในวันทำสงครามแร็คนาร็อก แต่อย่างใดก็ดี ก็ไม่ช่วยให้พระองค์รอดพ้นจากคมเขี้ยวของพญาสุนัขป่าเฟนริล์ได้
ทรงมีสัตว์เลี้ยงคืออีกาคู่ และถือเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ ชื่อ ฮูกีน (ความคิด) และมูนีน (ความจำ) อีกาทั้งสองจะบินไปรอบโลก เพื่อนำข่าวคราวของสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกมาแจ้งแก่พระองค์ และทรงเลี้ยงสุนัขป่าขนสีเงินอีกสองตัวคือ เกรี และ เฟรคี สุนัขทั้งสองมักนั่งอยู่แทบพระบาท คอยกินอาหารที่ถูกนำมาถวาย ด้วยพระองค์ไม่โปรดอะไรนอกจากเหล้าน้ำผึ้ง ทรงมีพาหนะคือม้าสเลปไนร์ ซึ่งมีขาถึง 8 ขา จึงทำให้มันวิ่งเร็วกว่าม้าใดๆ
ทรงมีมเหสีเอกคือเทวีฟริกก์ และต่อมาทรงรับเทวีเฟรยาเป็นมเหสีอีกองค์ เทวีฟริกกาทรงเปี่ยมไปด้วยเมตตา ปราศจากความอิจฉาริษยา เทวีเฟรายาจึงเคารพพระนางเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยทำอะไรให้มเหสีเอกต้องขุ่นเคืองพระทัย
สำหรับผู้ที่เป็นนักพยากรณ์โดยไพ่ทาโรต์ จะคุ้นเคยกับใพ่ใบหนึ่งที่เป็นภาพของคนห้อยหัว ผูกขาข้างหนึ่งไว้กับต้นไม้ ไพ่ใบนี้ชื่อ Hang Man เชื่อกันว่ามีที่มาจากตำนานของเทพโอดินนั่นเอง ดังนั้นไพ่ใบนี้ จึงมีความหมายของการพยากรณ์ การหยุดนิ่งก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง การอดทนเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ การรอคอยโอกาสที่ยังมาไม่ถึง